การป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ต้องทำอย่างไรบ้าง?

การป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไป องค์กรธุรกิจ และภาครัฐ เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบ รวมถึงป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตี การตระหนักถึงภัยคุกคามและการวางกลยุทธ์ในการป้องกันอย่างเหมาะสมจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจในโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

1.ใช้รหัสผ่านที่แข็งแกร่ง (Strong Passwords)

ใช้รหัสผ่านที่ยาวและซับซ้อน รวมถึงการใช้งานการตรวจสอบสองขั้นตอน (2FA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

การสร้างและจัดการ Strong Passwords

  • ใช้เครื่องมือสร้างรหัสผ่าน (Password Generator) : โปรแกรมหรือเว็บไซต์ที่ช่วยสร้างรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง เช่น LastPass, Dashlane หรือ Bitwarden
  • จัดการรหัสผ่านด้วย Password Manager : ช่วยเก็บรหัสผ่านทั้งหมดของคุณอย่างปลอดภัย เช่น 1Password, KeePass หรือ Google Password Manager
  • ไม่ใช้รหัสผ่านซ้ำ : ใช้รหัสผ่านที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละบัญชี
  • เปิดใช้งานการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน (2FA) : เพิ่มความปลอดภัยด้วย OTP หรือแอปพลิเคชัน เช่น Google Authenticator หรือ Microsoft Authenticator
  • อัปเดตรหัสผ่านเป็นประจำ : ควรเปลี่ยนรหัสผ่านทุก 6-12 เดือน

2.อัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ

อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันเพื่อปิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์อาจใช้

ตัวอย่างของการอัปเดตซอฟต์แวร์   

  • Windows Update : แก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย ปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่ในระบบปฏิบัติการ Windows                             
  • iOS/Android Update : เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การปรับปรุงกล้อง การใช้งานแอป และการอัปเดตแพตช์ความปลอดภัย                   
  • แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน : เช่น การอัปเดต LINE, Facebook, หรือ WhatsApp เพื่อเพิ่มฟีเจอร์หรือแก้ไขปัญหา           
  • ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส : การอัปเดตฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) เพื่อป้องกันไวรัสชนิดใหม่

3.ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส

ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อป้องกันมัลแวร์และภัยคุกคามจากไวรัส

ตัวอย่างซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสยอดนิยม

  • Windows Defender (Microsoft) : โปรแกรมป้องกันไวรัสฟรีใน Windows
  • Avast Antivirus : มีทั้งเวอร์ชันฟรีและพรีเมียม พร้อมฟีเจอร์ป้องกันมัลแวร์และฟิชชิง
  • Kaspersky : เน้นการป้องกันแรนซัมแวร์และมัลแวร์ขั้นสูง
  • Norton Antivirus : ระบบป้องกันไวรัสแบบครอบคลุม พร้อมการป้องกันข้อมูลส่วนตัว
  • McAfee : มีฟีเจอร์เสริม เช่น การป้องกันอีเมลขยะ และการล้างข้อมูลที่เป็นความลับ
  • Bitdefender : มีการวิเคราะห์พฤติกรรมโปรแกรมเพื่อป้องกันไวรัสชนิดใหม่
  • ESET NOD32 Antivirus : โดดเด่นเรื่องการใช้ทรัพยากรระบบน้อย

4.ใช้ไฟร์วอลล์ (Firewall)

ตั้งค่าไฟร์วอลล์เพื่อควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายและป้องกันการโจมตี    

ประโยชน์ของไฟร์วอลล์

  • ป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต : ไฟร์วอลล์ช่วยบล็อกบุคคลหรือโปรแกรมที่พยายามเข้าถึงเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • กรองเนื้อหาที่ไม่ปลอดภัย : บล็อกเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่เหมาะสม
  • ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์ : บล็อกการเชื่อมต่อที่อาจนำมัลแวร์เข้าสู่ระบบ
  • ช่วยตรวจจับการโจมตีทางไซเบอร์ : ไฟร์วอลล์สามารถตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การโจมตี DDoS หรือการแฮ็ก
  • เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรม : ป้องกันข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน หรือหมายเลขบัตรเครดิต จากการถูกขโมย

5.สำรองข้อมูล (Backup)

สำรองข้อมูลที่สำคัญไว้ในที่ปลอดภัย เช่น การใช้คลาวด์ หรือฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก

เครื่องมือสำหรับสำรองข้อมูลยอดนิยม

  • สำหรับบุคคลทั่วไป : Google Drive, Dropbox, OneDrive, iCloud
  • สำหรับองค์กร : Acronis Backup, Veeam, Backblaze, Carbonite
  • ซอฟต์แวร์ฟรี: Cobian Backup, EaseUS Todo Backup Free
  • ฮาร์ดแวร์สำหรับสำรองข้อมูล : NAS (Synology, QNAP), ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก (Seagate, WD)

6.หลีกเลี่ยงการโจมตีแบบ Phishing

ระวังไม่คลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

วิธีป้องกันการโจมตีแบบ Phishing

  • ตรวจสอบแหล่งที่มาของอีเมลหรือข้อความ : ตรวจสอบที่อยู่อีเมลผู้ส่งให้แน่ใจว่าเป็นของจริง
  • อย่าคลิกลิงก์ทันที : หากได้รับลิงก์ ให้เลื่อนเมาส์ไปวางบนลิงก์เพื่อตรวจสอบ URL ว่าถูกต้องหรือไม่
  • ตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ : ใช้เว็บไซต์ที่ขึ้นต้นด้วย https:// และมีสัญลักษณ์แม่กุญแจในเบราว์เซอร์
  • ระวังไฟล์แนบ : อย่าเปิดไฟล์แนบที่มาจากผู้ส่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) : เพิ่มความปลอดภัยให้บัญชีของคุณ
  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ : ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์ที่ทันสมัย
  • อย่าตอบกลับอีเมลหรือข้อความที่ขอข้อมูลส่วนตัว : องค์กรที่น่าเชื่อถือจะไม่ขอข้อมูลส่วนตัวทางอีเมล
  • ฝึกฝนและเรียนรู้ : อบรมพนักงานในองค์กรให้รู้วิธีสังเกต Phishing

7.การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption)การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption)

ใช้การเข้ารหัสข้อมูลทั้งในขณะที่ส่งข้อมูลและเก็บข้อมูลเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต

ประโยชน์ของการเข้ารหัสข้อมูล

  • ป้องกันข้อมูลรั่วไหล : แม้ข้อมูลจะถูกดักจับ แต่ผู้ที่ไม่มีคีย์จะไม่สามารถอ่านข้อมูลได้
  • เพิ่มความเป็นส่วนตัว : ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานจะไม่ถูกเปิดเผย
  • ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย : GDPR, HIPAA
  • สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้งาน : ลูกค้าหรือผู้ใช้งานมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล

8.การใช้ระบบตรวจจับการบุกรุก (IDS)

ใช้ระบบตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามเพื่อป้องกันการโจมตี

ประโยชน์ของ IDS

  • เพิ่มความปลอดภัย : ช่วยตรวจจับและแจ้งเตือนการโจมตีหรือกิจกรรมที่ไม่ปกติที่อาจถูกมองข้ามได้
  • ป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้น : สามารถตอบสนองทันทีเมื่อพบการโจมตี เช่น การบล็อก IP ที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย
  • ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ : สามารถใช้ในการตรวจสอบและบันทึกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในระบบเพื่อวิเคราะห์หาจุดอ่อน
  • รักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล : ช่วยป้องกันการโจมตีที่อาจทำให้ข้อมูลเสียหายหรือสูญหาย
  • ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย : หลายองค์กรจำเป็นต้องมีระบบ IDS เพื่อตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เช่น PCI DSS หรือ HIPAA

9.ใช้ VPN (Virtual Private Network)

ใช้ VPN เพื่อรักษาความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่ายสาธารณะ

โปรโตคอลที่ใช้ใน VPN

  • PPTP (Point-to-Point Tunneling Protocol) : เป็นโปรโตคอลเก่าที่ได้รับความนิยมในช่วงแรก ๆ แต่ไม่ปลอดภัยนักในปัจจุบัน เหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องการความปลอดภัยสูง
  • L2TP (Layer 2 Tunneling Protocol) : ทำงานร่วมกับ IPsec (Internet Protocol Security) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับการเชื่อมต่อ มักใช้ในองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยในการส่งข้อมูล
  • OpenVPN : โปรโตคอลที่โอเพ่นซอร์สและมีความปลอดภัยสูง รองรับการเข้ารหัสหลายรูปแบบและเหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายอุปกรณ์
  • IKEv2 (Internet Key Exchange version 2) : เป็นโปรโตคอลที่มีความปลอดภัยสูงและการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์มือถือ
  • WireGuard : เป็นโปรโตคอล VPN ใหม่ที่ออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงและใช้งานง่าย มันมีความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพดี

10.การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control)

จำกัดการเข้าถึงข้อมูลและระบบตามความจำเป็น เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่เหมาะสม

ประโยชน์ของการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง

  • เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล : ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ลดโอกาสการโจมตี : จำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ ทำให้ลดโอกาสที่แฮกเกอร์จะเข้าถึงข้อมูลหรือทรัพยากรสำคัญ
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ : ระบบสิทธิ์ที่ชัดเจนช่วยให้องค์กรบริหารจัดการทรัพยากรได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ
  • สอดคล้องกับข้อกำหนดทางกฎหมาย : หลายกฎหมาย เช่น GDPR, HIPAA หรือ PCI DSS กำหนดให้องค์กรต้องมีการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

เรียบเรียงโดย : รติกร โมทะจิตร
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.itbtthai.com/category/itbt-activities/